ในโลกที่ศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐฯ เราอาจลืมไปว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกก็มีตลาดหุ้นที่มีการพัฒนาเป็นอย่างดีเช่นกัน และสำหรับนักลงทุนตะวันตก คือตลาดแห่งนี้แทบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปเลย แม้เศรษฐกิจจีนจะถูกควบคุมจากส่วนกลางและมีการแทรกแซงจากรัฐบ่อยครั้ง แต่หุ้นจีนก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ดัชนี China A50 ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุด 50 แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ ได้ปรับตัวขึ้น 9.3% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่ามันมีการปรับตัวดีเทียบเท่ากับดัชนี Nasdaq 100 ที่มีการขนานนามว่าเป็นดัชนีสหรัฐที่ "ให้ผลตอบแทนสูงสุด" ในช่วงเวลาเดียวกัน
จากการที่รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนทิศทางนโยบายอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา เซ็กเตอร์ด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีนได้กลับมารุ่งเรือง และเริ่มดูน่าสนใจมากกว่าหุ้นที่โดดเด่นของสหรัฐ หุ้นของ Alibaba และ Tencent ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 32.8% และ 19.8% YTD ตามลำดับ ในขณะที่หุ้น Apple และ Alphabet กลับปรับตัวลดลง 19.4% และ 8.7% ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยืนหยัดตอบโต้สงครามการค้ากับทรัมป์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยิ่งแสดงให้เห็นว่า จีนเป็นผู้ท้าทายทางเศรษฐกิจที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ อย่างแน่นอน แต่สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อหุ้นจีนอย่างไร และปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นอย่างไรในช่วงที่เหลือของปีนี้และในอนาคต?
บ้านคือที่อยู่ของหัวใจ
หลังจากที่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดและมีการใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดในช่วงก่อนและระหว่างโควิด หลายฝ่ายต่างกังวลว่าเซ็กเตอร์เทคโนโลยีของจีนจะฟื้นตัวยาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เซ็กเตอร์นี้ได้เด้งกลับมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนนโยบายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญของรัฐบาลจีน ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 รัฐบาลจีนได้ประกาศสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดหุ้นมูลค่า 8 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นวงเงินสวอป 5 แสนล้านหยวนสำหรับโบรกเกอร์และกองทุน และวงเงินรีไฟแนนซ์ 3 แสนล้านหยวนสำหรับบริษัทและผู้ถือหุ้นเพื่อนำไปซื้อหุ้นคืน หลังจากนั้น ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2025 จีนได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเจาะจงไปยังส่วน AI และเทคโนโลยี รวมถึงเพิ่มการใช้จ่ายผ่านพันธบัตรพิเศษมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์
หน่วยลงทุนของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของจีนได้เข้าซื้อหุ้นโดยตรง ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางก็ได้เปิดตัวเครื่องมือสวอปและรีไฟแนนซ์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ตลาด และในปัจจุบัน การปฏิรูปล่าสุดของจีนที่อนุญาตให้บริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงสามารถขอจดทะเบียนเพิ่มในตลาดเซินเจิ้นได้ อาจทำให้บริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ Tencent กลับสู่ตลาดจีน สำหรับสตาร์ทอัพ สภาพแวดล้อมการกำกับดูแลก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีด้วยเช่นกัน ที่งานประชุม Lujiazui Forum ในเซี่ยงไฮ้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นายอู๋ ชิง ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ได้ประกาศว่า บริษัทที่ยังไม่มีกำไรสามารถยื่นขอจดทะเบียนในตลาด Star ของเซี่ยงไฮ้ได้อีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ดูเหมือนว่าได้เริ่มสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยในเดือนพฤษภาคม กองทุน ETF หลายตัวที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ซึ่งติดตามหุ้นจีน มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิถึง 401.7 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเงินไหลออกต่อเนื่องหลายเดือน
เด็กใหม่ในกลุ่ม
หากสงครามการค้ารอบล่าสุดระหว่างจีนและสหรัฐฯ สอนอะไรเราได้หนึ่งอย่าง สิ่งนี้ก็คือ จีนไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ตามอีกต่อไป และพร้อมท้าทายสหรัฐฯ ในบทบาทผู้นำของโลก ซึ่งแตกต่างจากยุคแรกของทรัมป์ ในครั้งนี้สี จิ้นผิง ไม่ยอมถอย และทำให้สหรัฐฯ ต้องลงโทษเซ็กเตอร์เทคโนโลยีของตนเอง จนทำให้คู่แข่งอย่าง Tencent และ Alibaba ได้รับประโยชน์ และรัฐบาลวอชิงตันต้องเริ่มต้นการเจรจา การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของชาติมหาอำนาจไม่รอดพ้นสายตานักลงทุน และจากรายงานของ HSBC Asset Management เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน หุ้นจีนยังคงแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ "จุดสิ้นสุดของความพิเศษเหนือใครของสหรัฐฯ"
นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยีและ AI ของจีน เช่น Alibaba, Tencent และ JD.com กลับมีค่า P/E ที่น่าสนใจเพียง 15, 21 และ 8 ตามลำดับ ซึ่งตรงข้ามกับหุ้นเทคของสหรัฐฯ ที่แม้จะเผชิญแรงเทขายจากสงครามการค้าก็ยังมีราคาที่สูงเกินไป ในขณะที่จีนผลักดันให้หุ้นเทคขนาดใหญ่กลับมาจดทะเบียนในตลาดที่เน้นด้านเทคโนโลยีในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น แต่การจดทะเบียนเหล่านี้เป็นการจดทะเบียนรอง ตลาดฮ่องกงก็จะยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกในขณะที่จีนมีบทบาทมากยิ่งขึ้น เมื่อเดือนที่ผ่านมา การ IPO ในฮ่องกงของบริษัทแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ Contemporary Amperex ที่แม้จะจดทะเบียนในแผ่นดินใหญ่แล้ว แต่ก็สามารถระดมทุนได้กว่า 3.57 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง และราคาหุ้นได้ปรับขึ้นเกือบ 17% ในวันแรกของการซื้อขาย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ของแนวโน้มใหม่นี้ นับตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนพฤษภาคม มีเงินทุนจากแผ่นดินใหญ่ไหลเข้าสู่ฮ่องกงแล้วถึง 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของเม็ดเงินจากต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2024
เทรด CFD ของหุ้นจีนและตัวอื่น ๆ ที่ Libertex
Libertex เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์ยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งมีการให้บริการ CFD หลากหลายประเภท ตั้งแต่หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนี ไปจนถึงฟอเร็กซ์ ออปชั่น และคริปโต Libertex ยังมี CFD ของหุ้นเทคยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง Alibaba, Baidu และ Tencent, รวมถึงดัชนี China A50 และ iShares China Large-Cap ETF สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีเป็นของคุณเอง ให้ไปที่ www.libertex.org/signup วันนี้!