อุปสงค์ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและราคาน้ำมันยังร่วงต่อ

เมื่อฤดูกาลความต้องการใช้น้ำมันช่วงซัมเมอร์ใกล้สิ้นสุด นักลงทุนเริ่มหันมาจับตาตลาดน้ำมันที่กำลังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบตัวหลักกำลังเคลื่อนไหวใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบสี่ปี หลังจากที่ดีดตัวแรงในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ในปัจจุบันฤดูกาลแห่งการขับรถใกล้จะจบลงแล้วและอุปสงค์กำลังลดลง ณ วันที่ 21 สิงหาคม ราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ $67.33 ต่อบาร์เรล ส่วน WTI อยู่ที่ $62.25 ในขณะเดียวกัน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของก๊าซธรรมชาติ Henry Hub พุ่งขึ้นเกือบ 40% ตั้งแต่ต้นปีไปที่ $2.758 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง

แรงกดดันราคาน้ำมันในตอนนี้มาจากหลายปัจจัย ทั้งการปรับราคาแบบตั้งใจของ OPEC+ ไปจนถึงการลดราคาแบบโดนบังคับของรัสเซียเพื่อสู้กับมาตรการภาษีจากประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำมันที่ไม่ถึงระดับที่ IEA คาดการณ์ไว้ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันด้านอุปสงค์ของน้ำมัน แต่ราคาที่ลดลงจะทำให้ราคาน้ำมันดูน่าสนใจจนเป็นแรงดันราคาขึ้นหรือไม่? ในบทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้และทิศทางตลาดน้ำมันในปี 2025 และหลังจากนั้น

ท่าทีทางการเมือง

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดหลังประกาศขึ้นภาษีเพิ่มอีก 25% สำหรับอินเดียจากการใช้น้ำมันรัสเซีย โดยอ้างว่าเป็นความพยายามกดดันให้เกิดข้อตกลงสันติภาพในยูเครน อย่างไรก็ตาม หลังจากการเจรจากับจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก เขากลับไม่ใช้มาตรการเดียวกันนี้กับปักกิ่ง แม้การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียของอินเดียจะลดลง แต่จีนกลับเข้ามาแทนที่ทันที โดยโรงกลั่นน้ำมันจีนได้จองการส่งน้ำมันจากรัสเซียอย่างน้อย 15 ครั้งซึ่งจะมีการส่งมอบในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน

อย่างไรก็ตาม Evgeny Griva ผู้แทนการค้าของรัสเซียในอินเดียได้รายงานว่า เขาคาดว่าอินเดียน่าจะยังคงนำเข้าน้ำมันรัสเซียที่ระดับปัจจุบันต่อไป โดยอ้างถึงส่วนลดพิเศษ 5% จากราคาที่ต่ำกว่าตลาดอยู่แล้ว ในขณะเดียวกัน เพดานราคาน้ำมันดิบ Urals ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ที่ $60 ในปี 2022 ยังคงมีการใช้บังคับอยู่ แต่บรัสเซลส์ได้เริ่มพิจารณาเปลี่ยนไปใช้เพดานราคาแบบลอยตัวเพื่อรักษาราคาไว้ที่ระดับ 15% ของค่าเฉลี่ยหกเดือน เมื่อจีนเข้ามารับช่วงต่อในระยะสั้นและอินเดียมีโอกาสที่จะได้ราคาพิเศษ ซึ่งดูเหมือนว่าอุปสงค์น้ำมันน่าจะยังคงทรงตัว ในขณะที่ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงด้านอุปทานที่ไม่อาจมองข้าม

เติมให้ล้นตลาด

ตลอดเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ ได้เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หลังจากการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงโควิด ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา OPEC+ ได้ตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิต 547,000 บาร์เรลต่อวันสำหรับเดือนกันยายน ทั้งที่อุปสงค์กำลังชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด นี่คือความตั้งใจของพวกเขาแทนที่จะกังวลเกี่ยวกับการสร้างอุปสงค์ส่วนเกินที่ไม่ต้องการ เนื่องจากพวกเขาต้องการที่จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดในระยะยาวด้วยการทำให้ US shale ของสหรัฐฯ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ตามที่อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Pioneer Natural Resources, Scott Sheffield ได้กล่าวไว้: "วิธีที่ดีที่สุด [สำหรับ OPEC] ในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดคือการรักษาราคาน้ำมันให้อยู่ในช่วง $60 เป็นเวลาหลายปี" ซึ่งจะลดการลงทุนใน US shale แคนาดา บราซิล และการสำรวจนำ้มันทั่วโลก...และบังคับให้เกิดการควบรวม"

เป็นที่รู้กันดีว่า US shale ต้องอาศัยราคาประมาณ $75 จึงจะแข่งขันได้ แต่การกดราคาให้อยู่ในระดับ $60 เป็นระยะเวลาต่อเนื่องก็ไม่ง่าย เนื่องจากซาอุดีอาระเบียเองก็เริ่มได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัว และอาจต้องชะลอการใช้จ่ายตามแผนกระจายความเสี่ยง จากการคาดการณ์ล่าสุดของ IEA อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2.5 ล้าน bpd ในปี 2025 ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดไว้ 2.1 ล้าน bpd และเพิ่มอีก 1.9 ล้าน bpd ในปีถัดไป ในขณะที่อุปสงค์ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 680,000 bpd ในปีนี้ และ 700,000 bpd ในปีหน้า ซึ่งลดลง 20,000 bpd จากการคาดการณ์ก่อนหน้า แม้ตัวเลขระยะสั้นจะชี้ว่าราคายังมีโอกาสร่วงลงต่อ แต่การเก็งกำไรจากนักลงทุนและการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐก็ยังอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะผลักดันราคาน้ำมันในระยะยาว

เทรดน้ำมัน และ CFD ตัวอื่น ๆ ที่ Libertex

นอกเหนือจากตราสารยอดนิยมอย่าง CFD ของหุ้น, ETF และสกุลเงินแล้ว Libertex ยังมีให้บริการ CFD ของทรัพยากรพลังงานมากมาย รวมถึงอนุพันธ์ของน้ำมันอย่าง WTI Crude, Light Sweet และ Brent รวมไปถึงกองทุนฟิวเจอร์สก๊าซธรรมชาติ Henry Hub อีกด้วย หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีวันนี้ ให้ไปที่ www.libertex.org/signup