Skip to main content
Stocks slip as September sets in

หุ้นปรับตัวลงในช่วงต้นเดือนกันยายน

พฤ., 09/12/2024 - 12:38

หุ้นสหรัฐฯ ในช่วงปีที่ผ่านมา อยู่ในวัฏจักรขาขึ้นที่ทำให้ทุกคนแปลกใจ โดยวัฏจักรนี้กินเวลานานกว่า 20 เดือนแล้ว นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq 100 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 35% และ 70% ตามลำดับ และยังคงดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรในระยะยาวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นรอยร้าวในช่วงขาขึ้นนี้ เนื่องจากทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq 100 ได้ปรับลดลงเกือบ 5% เมื่อปิดตลาดในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน ซึ่งถือเป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 ตัวเร่งที่ทำให้เกิดสัปดาห์ที่ย่ำแย่นี้ ดูเหมือนว่าจะมาจากข้อมูลการจ้างงานที่แย่กว่าคาด และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขนาดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่กำลังจะเกิดขึ้น 

แต่ยังมีอะไรที่มากกว่านี้ ในเวลาอันใกล้กำลังจะมีการรายงานตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคและข้อมูลเงินเฟ้อ ในขณะเดียวกันผลพวงจากการโต้วาทีประธานาธิบดีครั้งล่าสุด และการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา อาจส่งผลต่อตลาดทุนจนถึงช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นอย่างน้อย ดูเหมือนว่าแนวโน้มของตลาดสหรัฐในอนาคต จะถูกกำหนดโดยตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาค และพัฒนาการของปัจจัยพื้นฐาน จนถึงช่วงปลายไตรมาสที่ 4 ปี 2024 เป็นอย่างน้อย ในบทความนี้ เราจะประเมินปัจจัยเหล่านี้ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับราคาหุ้น

ติดตามตัวเลขมหภาค

ความเคลื่อนไหวในระยะสั้น จะถูกตัดสินจากภาพเศรษฐกิจมหภาคในสหรัฐฯ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับตราสารทุนเสมอ สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีข่าวเพิ่มเติมจากตลาดแรงงาน โดยสำนักสถิติแรงงาน (BLS) ได้รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่ง ซึ่งเพิ่มขึ้น 28,000 ตำแหน่งจากเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ อัตราการว่างงานได้ลดลง 0.1% ในขณะที่การเติบโตของค่าจ้างเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดเล็กน้อยที่ 3.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสนับสนุนความเห็นของประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ ที่การประชุม Jackson Hole ที่กล่าวว่า ตลาดแรงงานไม่ได้เป็นภัยต่อเงินเฟ้ออีกต่อไป พัฒนาการนี้ให้เหตุผลที่เป็นการสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 25 bps ในการประชุมของหน่วยงานกำกับดูแลสหรัฐ ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 18 กันยายน จริงๆ แล้วข้อมูลจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME ได้คาดการณ์ว่า มีโอกาส 69% ที่จะปรับลด 25 bps และ 31% ที่จะปรับลด 50 bps ในครั้งนี้

ตัวเลขทางเศรษฐกิจมหภาคอีกตัวหนึ่ง ที่ทั้งเฟดและตลาดกำลังจับตามอง คือ ตัวเลขอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี อยู่ที่ 3.651% ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 และปิดต่ำกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปีเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี ในอดีต การกลับสู่ภาวะปกติของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณบวก แต่การศึกษาล่าสุดกลับชี้ว่า นี่อาจเป็นสัญญาณของการเกิดภาวะถดถอยที่กำลังจะมาถึง ตัวเลข CPI ของเดือนสิงหาคมที่มีการเผยแพร่เมื่อวันที่ 11 กันยายน แสดงให้เห็นถึงตัวเลขที่ค่อนข้างดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเงินเฟ้อได้ลดลงเป็น 2.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (คาดการณ์ไว้ที่ 2.6%) ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2021 นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่เป้าหมาย 2% ของเฟด และคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุมครั้งต่อไป

ผู้สมัครในอุดมคติ

ท่ามกลางการพูดถึงข้อมูลและกราฟต่างๆ สิ่งที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะส่งผลต่อหุ้นสหรัฐฯ ในทันที คือ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นการยากที่จะบอกว่า วอลสตรีตจะสนับสนุนฝ่ายใด และความเป็นจริง คือ ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และมุมมองนโยบายทั่วไป เราคาดว่า ทรัมป์จะเป็นตัวเลือกที่ตลาดชื่นชอบ แต่ความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับทรัมป์ ก็เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ชอบ หลังจากการโต้วาทีประธานาธิบดีในสัปดาห์นี้ โอกาสที่นางกมลา แฮร์ริสจะชนะการเลือกตั้ง ได้เพิ่มขึ้นเป็น 55% นี่เป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากที่ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตคนนี้ ประกาศแผนการขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลเป็น 28% จาก 21% เพื่อให้ “บริษัทขนาดใหญ่จ่ายภาษีตามสัดส่วนที่เป็นธรรม” ในขณะเดียวกัน ก็เสนอการขึ้นภาษีสำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์

แต่บางทีสิ่งที่อาจสร้างความกังวลให้กับวอลสตรีตมากกว่านั้น อาจเป็นแนวคิดของเธอในการเรียกเก็บภาษีขั้นต่ำ จากกำไรที่ยังไม่รับรู้ ที่เกิดขึ้นจากสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร หรือบริษัทเอกชน สำหรับผู้เสียภาษีที่มีความมั่งคั่งสุทธิมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ การขึ้นภาษีดังกล่าวคาดว่า จะทำให้กำไรของบริษัทลดลงอย่างน้อย 4% แต่ผลกระทบของการเก็บภาษีจากกำไรที่ยังไม่ได้รับรู้ ยังคงเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะมากอบกู้ตลาดหุ้นเช่นกัน เนื่องจากแผนการขึ้นภาษีกับบริษัทจีนของเขา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทสหรัฐหลายแห่ง ที่มีการค้าขายกับจีน ไม่ว่าชาวอเมริกันจะตัดสินใจอย่างไรในเดือนพฤศจิกายน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่คำถามคือ ตลาดจะตอบสนองอย่างไรในปี 2025 ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย

เทรดหุ้นสหรัฐฯ และ CFD ตัวอื่นๆ ด้วย Libertex

Libertex ให้บริการ CFD ของหลากหลายกลุ่มสินทรัพย์อ้างอิง เริ่มตั้งแต่ฟอเร็กซ์ โลหะและคริปโต ไปจนถึง ETF ดัชนี และหุ้น ที่ Libertex คุณจะสามารถเทรดดัชนีตัวสำคัญของสหรัฐฯ — Nasdaq 100, S&P 500 และ Dow Jones Industrial Average — รวมไปถึง ETF ในประเทศต่างๆ และหุ้นรายตัวอีกมากมาย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ให้ไปที่ www.libertex.org/signup วันนี้ แล้วสร้างบัญชีเป็นของคุณเอง

สัมผัสกับความน่าตื่นเต้นของการเทรด!

ลงทะเบียนเปิดบัญชีเดโมกับ Libertex และมาเรียนรู้วิธีการเทรด