จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางได้พุ่งขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันและทองคำได้แย่งชิงความสนใจจากตลาดไปท่ามกลางการซื้อขายหุ้นที่ค่อนข้างทรงตัว อย่างไรก็ตาม หลังจากการสิ้นสุดสิ่งที่ทรัมป์เรียกว่า “สงคราม 12 วัน” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ตลาดหุ้นสหรัฐได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และดัชนีสองตัวหลักของสหรัฐอย่าง S&P 500 และ Nasdaq 100 ต่างทำจุดสูงสุดใหม่หลังจากอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเดิมนานเกือบ 5 เดือน โดย ณ วันที่ 10 กรกฎาคม ดัชนีทั้งสองอยู่ที่ระดับ $6,263.26 และ $22,864.91 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดหลัง Liberation Day 22% และ 31% ตามลำดับ ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตาม เฟดยังคงยืนยันที่จะค่อยเป็นค่อยไปกับการปรับลดดอกเบี้ยที่ตลาดตั้งตารอ ในขณะที่ทรัมป์ไม่เพียงแค่ไม่สามารถปิดดีลทำข้อตกลงการค้ากับคู่ค้ารายใหญ่ได้เท่านั้น แต่ยังขู่จะคว่ำบาตรพันธมิตรที่สำคัญอย่างญี่ปุ่นและแคนาดาเพิ่มอีกด้วย แม้จะมีการเลื่อนเส้นตายการเรียกเก็บภาษีจาก 9 กรกฎาคม ออกเป็น 1 สิงหาคม แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าตลาดหุ้นจะสามารถยืนเหนือจุดสูงสุดใหม่นี้อย่างมั่นคงได้หรือไม่ ก่อนที่ข่าวลบจะกดดันราคาอีกครั้ง ในบทความนี้เราจะมาพิจารณาปัจจัยเหล่านี้และพยายามประเมินแนวโน้มตลาดในระยะสั้นถึงระยะกลาง
รอปรับอัตราดอกเบี้ย?
นับตั้งแต่ที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2022 เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อหลังโควิด นักลงทุนก็รอคอยการกลับเข้าสู่ระดับอัตราดอกเบี้ยที่คุ้นเคยมาโดยตลอด หลังจากที่ดอกเบี้ยไปแตะจุดสูงสุดที่ 5.5% ในเดือนกรกฎาคม 2023 Fed Funds Rate ได้ลดลงเพียง 1% มาอยู่ที่ 4.5% และยังไม่มีการปรับลดใด ๆ ในปี 2025 ทั้งที่มีเสียงเรียกร้องจากทั้งตลาดและประธานาธิบดี รายงานการประชุมนโยบายเดือนมิถุนายนของเฟดที่เผยแพร่เมื่อ 9 กรกฎาคม เปิดเผยว่า สมาชิกเฟดส่วนใหญ่สนับสนุนให้ปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ต้องการให้เริ่มในเดือนกรกฎาคม สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เฟดสาขานิวยอร์กเผยแพร่ผลสำรวจความคาดหวังของผู้บริโภคประจำเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ 1 ปี ลดลง 0.2% และความเสี่ยงการว่างงานที่รับรู้ลดลง 1.1% ในขณะเดียวกันดัชนี CPI เดือนพฤษภาคมแสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อปีต่อปีขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.4% แต่มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขจะกลับตัวลงเมื่อมีการประกาศตัวเลขเดือนมิถุนายน เนื่องจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงและความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
รายงานการประชุมครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด และสมาชิกเฟดอีกหลายคนยังเลือกที่จะรอดูผลกระทบจากภาษีของทรัมป์ที่มีต่อเงินเฟ้อก่อนตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย เครื่องมือ FedWatch ของ CME ประเมินความเป็นไปได้ที่จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้ามากกว่า 93% แต่มีโอกาสปรับลดอย่างน้อย 25 bps ภายในเดือนกันยายนมากกว่า 72%
ภาษีรออยู่
ทรัมป์อยู่ในพาดหัวข่าวสำหรับเหตุผลเชิงลบจากการประกาศภาษีวันปลดแอกเมื่อ 4 เมษายน ซึ่งได้ประกาศการเรียกเก็บภาษีเป็นเลขสองและสามหลักต่อคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดา เม็กซิโก และจีน แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกเลื่อนออกไปเพื่อการเจรจา แต่เส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมก็ผ่านไปแล้วโดยทรัมป์สามารถปิดดีลการค้าได้เพียงกับ 3 ประเทศเท่านั้นคือ จีน สหราชอาณาจักร และเวียดนาม จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีข้อตกลงทางการค้า 200 ฉบับ
การขยายเส้นตายนี้ไปเป็นวันที่ 1 สิงหาคมเพื่อพยายามเพิ่มสหภาพยุโรปและอินเดียเข้าไว้ในลิสต์ แต่แนวโน้มของการเกิด "ภาษีตอบโต้" จากกว่า 50 ประเทศยังคงมีความเสี่ยง และในระหว่างนี้ทรัมป์ยังได้ประกาศเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก เช่น 50% ต่อสินค้าบราซิล 25% ต่อสินค้าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และสูงสุด 40% ต่อสินค้าจากแอฟริกาใต้ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่านี่อาจเป็นเพียงกลยุทธ์การต่อรองแบบ "art of the deal" ของทรัมป์ แต่ในที่สุดทรัมป์อาจต้องตัดสินใจว่าจะเรียกเก็บภาษีจริงหรือเสียหน้าต่อประชาคมโลก ซึ่งทั้งสองทางต่างส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของบริษัทสหรัฐที่พึ่งพาการนำเข้า หรือชื่อเสียงที่เสียหายบนเวทีโลกซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ
เทรดหุ้นสหรัฐฯ และ CFD ตัวอื่นๆ ด้วย Libertex
ที่ Libertex คุณสามารถเทรด CFD ของหลากหลายสินทรัพย์ รวมถึงหุ้น ดัชนี และ ETF ไปจนถึงโลหะ พลังงาน และแม้แต่คริปโต เลือกจากดัชนีตัวหลัก เช่น S&P 500, Nasdaq 100 หรือ Dow Jones Industrial Average รวมถึงหุ้นรายตัวอีกมากมายและ ETFs หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือสร้างบัญชีเป็นของคุณเอง โปรดไปที่ www.libertex.org วันนี้!