หลังจากที่มีการสะดุดเล็กน้อยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเนื่องจากมาตรการเก็บภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ตลาดหุ้นสหรัฐก็กลับมาอยู่ในเส้นทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง การเคลื่อนไหวดังกล่าวดูเหมือนจะไม่สนใจต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ที่จริงแล้วในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีตัวหลักอย่าง S&P 500 และ Nasdaq 100 ของสหรัฐฯ ได้พุ่งขึ้นถึง 35% และ 45% ตามลำดับ ซึ่งถือว่าสูงกว่าผลตอบแทนทั้งปีของตลาดในปีที่ดีมาก ๆ ด้วยซ้ำ! เมื่อวุฒิสภาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่จะผ่านร่างงบประมาณใหม่ได้ รัฐบาลจึงต้องถูกชัตดาวน์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายกังวลว่าตลาดหุ้นจะเป็นผู้เสียหายรายแรก แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ตลาดหุ้นสหรัฐยังสามารถปรับตัวขึ้นได้แบบต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปัจจัยหลักที่หนุนให้ตลาดยังคงแข็งแกร่งคือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของเฟด และระดับการถือครองหุ้นที่สูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงล้วนผลักดันให้นักลงทุนเลือกสินทรัพย์มากกว่าเงินสด แม้ราคาจะอยู่ในระดับสูงแล้วก็ตาม ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกประเด็นสำคัญเหล่านี้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดหุ้นในปี 2026 และหลังจากนั้น
ชัตดาวน์และซื้อหุ้นต่อไป
แม้ว่าการชัตดาวน์ของรัฐบาลอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา และผลกระทบก็ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นหายนะ แต่เหตุการณ์นี้ก็เป็นอาการของความแตกแยกในสังคมอเมริกันโดยรวม ตลาดหุ้นสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดระยะสั้นมาได้ แม้กระทั่งรัฐมนตรีคลัง Scott Bessent ก็ยอมรับว่า GDP จะ “ต้องได้รับผลกระทบ” หากการชัตดาวน์ยืดเยื้อต่อไป สิ่งที่ถือเป็นข้อดีท่ามกลางความไม่มั่นคงทางการเมือง อย่างน้อยก็สำหรับตลาดหุ้นก็คือ ความไม่แน่นอนที่ยังค้างคาเกี่ยวกับการที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งในวันที่ 29 ตุลาคมหรือไม่นั้น แทบจะหมดไปแล้ว เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม เครื่องมือ CME's FedWatch ชี้ว่ามีความน่าจะเป็นถึง 95% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 25-50 bps ในการประชุมครั้งถัดไป นอกจากนี้ ข้อมูลอื่นจาก CME Group ยังบ่งชี้ด้วยว่า เทรดเดอร์ในวอลล์สตรีทคาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกอย่างน้อย 3 ครั้งก่อนถึงกลางฤดูร้อนปีหน้า
นั่นหมายความว่าการลดดอกเบี้ยหลายครั้งอาจ “สะท้อนในราคาแล้ว” ซึ่งช่วยอธิบายได้ว่าทำไมราคาหุ้นถึงอยู่เหนือระดับฟองสบู่ดอทคอมในอดีต อย่างไรก็ตาม นี่อาจจำกัดศักยภาพในการปรับตัวขึ้นอีกในอนาคตและเพิ่มความเสี่ยงได้หากเฟดไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้เร็วพอ นักวิเคราะห์จาก FactSet ประเมินว่าหากตลาดหุ้นต้องการเติบโตต่อไป บริษัทในดัชนี S&P 500 จะต้องมีการเติบโตของ EPS แบบปีต่อปี อย่างน้อย 8% แม้ว่าตัวเลขนี้มีความเป็นไปได้ แต่การที่ตัวคูณราคาอยู่เหนือระดับ 3.25 เท่า และตัวชี้วัด book value vs การเติบโตของ GDP ของบัฟเฟตต์ อยู่สูงถึง 217% ก็ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มระวัง black swan ที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อยังคงไม่ลดลง ข้อมูล CPI ล่าสุดของเดือนกันยายนชี้ว่า แรงกดดันด้านราคายังอยู่ที่ 3% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% อย่างมาก เมื่อประกอบกับแนวโน้มดอกเบี้ยที่ต่ำลง มันจึงกลายเป็นสูตรสำเร็จสำหรับการเติบโตของราคาสินทรัพย์
เก็บแรงไว้
ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันแตกต่างจากหลายทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ส่วนผสมที่ดูอันตรายของเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยต่ำ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อน และตลาดแรงงานที่เปราะบาง ได้นำไปสู่การเกิดเศรษฐกิจแบบรูปตัว K ที่ผู้ที่สามารถซื้อสินทรัพย์ได้จะยิ่งร่ำรวยขึ้น ขณะที่ผู้ที่ทำได้เพียงถือเงินสดกลับยากจนลง ด้วยความคาดหวังว่าเงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐสำหรับปีข้างหน้าจะขยับขึ้นแตะ 3.4% ในเดือนกันยายน และอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับลงสู่ระดับ 3.5% ได้เร็วที่สุดภายในสิ้นปีนี้ การออมเงินสดจึงแทบไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน และเมื่ออุปสรรคในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าที่เคย สิ่งนี้เปลี่ยนมาเป็นระดับการถือครองหุ้นที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากข้อมูลของเฟด สัดส่วนการถือครองหุ้นโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม หรือแผนเกษียณอายุ ปัจจุบันคิดเป็น 45% ของสินทรัพย์ทางการเงินในครัวเรือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตลอดกาล และตัวเลขนี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป เมื่อสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าอยู่แล้วดูจะยิ่งหมดความน่าสนใจลงหลังการเข้าสู่วงรอบการลดดอกเบี้ยของเฟด
แม้สิ่งนี้จะช่วยเติมสภาพคล่องอันมีค่าเข้าสู่ตลาด แต่มันก็ทำให้ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญการร่วงลงครั้งใหญ่ในกรณีที่เกิดการปรับฐานที่รุนแรงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งอาจนำไปสู่การเทขายครั้งใหญ่โดยนักลงทุนรายย่อยที่ขาดประสบการณ์ คล้ายกับสถานการณ์ “การแห่ถอนเงินจากธนาคาร” ที่นอกจากจะทำให้แรงกระแทกจากการปรับฐานตามธรรมชาติดูรุนแรงเกินจริงแล้ว มันยังอาจทำลายความเชื่อมั่นในหุ้นในระยะยาว และนำไปสู่ตลาดหมีที่ยาวนานได้ อย่างไรก็ตาม การที่ไม่ค่อยมีทางเลือกอื่นในการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากเท่าใดนักนอกเหนือจากทองคำ สำหรับนักลงทุนทั่วไปและแม้แต่สถาบัน หมายความว่า เงินยังคงมีแนวโน้มที่จะไหลเข้าสู่หุ้นต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะภายใต้สภาวะดอกเบี้ยขาลง
เทรด CFD ของหุ้นและอื่นๆ ด้วย Libertex
Libertex มี CFD ให้เลือกมากมาย เริ่มตั้งแต่โลหะ ETF และฟอเร็กซ์ ไปจนถึงดัชนี คริปโต และหุ้นรายตัว เทรด CFD ของดัชนีสหรัฐหลากหลายตัว เช่น S&P 500, Nasdaq 100 และ Dow Jones Industrial Average พร้อมเงื่อนไขการเทรดที่ไม่เป็นรองใคร หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือสร้างบัญชีเป็นของคุณเอง โปรดไปที่ www.libertex.org/signup วันนี้!




